วิธีเปลี่ยนชื่อ URL ของ Fanpage (Facebook Tips)


• ปกติเมื่อก่อนเวลาสร้าง Fanpage ต้องรอให้ like ครบ 25 like ก่อนถึงจะสามารถตั้งชื่อ URL ให้สั้นลงได้ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ไม่ถึง 25 like ก็สามารถตั้งชื่ออยู่ URL ได้

• เข้าที่หน้า fan page ของเราแล้ว ไปที่ แก้ไขเพจ > จัดการอนุญาติ
• ด้านซ้ายมือจะมีเมนูให้เลือก ข้อมูลเบื้องต้น มันก็จะปรากฏหน้า เพจ ทางด้าน ขวามือมาให้มองดูที่ ชื่อผู้ใช้

•  ชื่อผู้ใช้ กดคลิกคำว่า สร้างชื่อผู้ใชัสำหรับหน้านี้ ?
• จากนั้นให้เราตั้งชื่อถ้าไม่ได้มันจะขึ้นคำว่า 
• ถ้าได้จะขึ้นแบบนี้ แล้วให้เรากดยืนยัน


• แล้วให้เรากดคำว่า ยืนยัน เป็นอันเสร๊จสิ้นการสร้าง URL แพจเพจ ก็จะได้ URL แบบนี้ที่ต้องการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: http://www.dekmaha.com

วิธีเพิ่มรูปลงในอัลบั้ม facebook


สำหรับท่านที่เพิ่งหัดเล่น Facebook ใหม่ๆ ก็คงมีหลายท่านยังสงสัยอยู่นะค่ะว่า เวลาจะอัพโหลดรูปลงเฟสบุ๊คนี่เขาทำกันยังไง วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ เดี๋ยวจะพาทำแบบ Step by Step เลย
1. เริ่มขั้นแรกคือ Login เข้าเฟสบุ๊คของตัวเองก่อน ฮ่าๆๆ แล้วในหน้า Wall ของเราให้สังเกตุที่มุมซ้ายนะค่ะ จะมีเมนูเหมือนรูปข้างล่างนี้ ให้คลิกไปที่ Photos ค่ะ

2. คลิกไปที่ Icon ที่มีชื่อว่า Upload More Photos ดังในรูปค่ะ เพื่อที่จะสร้างอัลบั้มใหม่ พร้อมทั้งอัพโหลดรูปลงไปด้วยค่ะ(แต่ถ้าหากอยากอัพโหลดรูปลงอัลบั้มที่มีอยู่แล้วก็ให้คลิกไปที่อัลบั้นนั้นๆได้เลยนะคะ)

3. หลังจากนั้นจะมีป๊อบอัพให้เรากดเพื่อเลือกรูปที่จะอัพโหลด โดยกดที่ปุ่ม Select Photos (แต่สามารถเลือกอัพโหลดแบบธรรมดาได้นะคะ สำหรับคนที่เครื่องไม่เร็วมากเท่าไหร่ โดยกดไปที่ Try the simple uploader ดังในรูปคะ)

4. ก่อนที่เราจะได้อัพโหลดรูปของเรา จะมีหน้าให้เราสร้างอัลบั้มขึ้นมาก่อนคะ (Create Album) เราก็สามารถเลือกตั้งชื่อได้ตามใจชอบเลยคะที่ช่อง Name of album ส่วนในช่อง Location ก็ให้ใส่สถานที่ของรูปในอัลบั้มคะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้นะ) เสร็จเรียบร้อยแล้วกดปุ่ม Create Album เลยคะ


5. หลังจากนั้นก็กดปุ่ม เลือกไฟล์ เลยคะ เพื่อไปเลือกรูปที่เราต้องการจะอัพโหลดลงเฟสบุ๊ค หน้านี้จะเลือกได้ที่ละ 5 รูปนะคะ (หน้าตามันอาจจะแปลกๆหน่อยนะ เพราะใช้ Google Chrome) เสร็จแล้วก็กดปุ่ม Upload Photosได้เลยคะ




6. เมื่ออัพโหลดเสร็จแล้วก็ให้ใส่คำอธิบายรูปคะ ใส่ได้ตามใจชอบเลย


7. หลังจากนั้นจะมีป๊อบอัพขึ้นมาถามเราว่า ต้องการจะให้เผยแพร่รูปนี้มั้ย (ถ้าเรายอมให้เผยแพร่มันก็จะโชว์ที่หน้า Wall ของเราทันทีคะ แต่ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็กด Skip ไปนะคะ ) สำหรับรูปนี้ยอมให้เผยแพร่ได้ ก็กดปุ่มPublish ไปเลยคะ


8. เสร็จเรียบร้อยยยยย อัพโหลดรูป ง่ายนิดเดียว ใช่มั้ยคะ ^^


เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: http://www.thai-facebook.com/2011/04/photo-upload/


วิธีการสร้าง Facebook Fanpage

หลายท่านอาจกำลังใช้ Social Network เพื่อโปรโมทเว็บไซต์หรือ Product ของคุณเอง
เพื่อให้ทันกับกระแสโลกทุกวันนี้ 

Facebook แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ที่นิยมใช้ 
1. Facebook personal เป็น Facebook แบบที่เราๆใช้งาน Post Wall , Post รูป คุยกับเพื่อนๆค่ะ
2. Facebook Business สำหรับการใช้งานเพื่อธุรกิจ

หน้าตาของทั้ง 2 แบบจะมีความคล้ายคลึงกันเพียงแต่ว่าจะต่างกันในคุณสมบัติของการใช้งาน
Facebook Business จะมีฟังก์ชั่นสนับสนุนในการทำธุรกิจได้มากกว่า รวมถึงการสร้างแอพลิเคชั่นต่างๆเข้ามาใช้งาน


วิธีสังเกตง่ายๆระหว่าง Facebook กับ Fan Page 
Fan Page จะให้คนที่เข้ามาเยี่ยมชม กด Like ถึงจะเข้ามาเยื่ยมชมได้ค่ะ 
Facebook จะไม่มีการกด Like มีแต่การ Add เป็นเพื่อนกันเท่านั้นค่ะ


วิธีการสมัคร fanpage
1. เข้าไปที่ http://www.Facebook.com แล้ว กด Creat a page




2. เลือกประเภทธุรกิจของคุณ


3. กรอกรายละเอียดและอ่านเงื่อนไขการใช้งาน Facebook แล้วกดตกลงยอมรับเงื่อนไขหากต้องการใช้งาน

4. ให้เลือกว่าเรามี account ของ Facebook แบบ personal อยู่หรือไม่ 

+ แบบไม่มี account ของ Facebook แบบ personal ระบบจะให้การสมัคร account


+ แบบมี account ของ Facebook แบบ personal ระบบจะให้ทำการ Login account นั้น


5. หลังจากนั้นกรอกรายละเอียดให้ครบถ้วนไปตามระบบ คุณก็จะได้ Fan Page มาใช้งานกันค่ะ

หลังจากนี้คุณก็สามารถเข้าไปใช้งานโดยการโพสข้อความหรือรูปได้ 
นอกจากนี้เพื่อความแปลกใหม่หรือการสร้างสรรค์คุณสามารถเพิ่มแอพลิเคชั่นเข้าไปใช้งานได้ค่ะ 




เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: http://webboard.makewebeasy.com/viewtopic.php?t=1524





วิธีการสมัครใช้งาน Facebook

อันแรกเลยให้เราเข้าไปที่ http://www.facebook.com

ทำการใส่รายละเอียด ชื่อ นามสกุล อีเมล และ ตั้งรหัสผ่าน


ทำการข้าม ขั้นที่ 1 ค้นหาเพื่อนของคุณ โดยเลือกไปที่ “Skip this step”


ทำการข้าม ขั้นที่ 2 Profile Information โดยเลือกไปที่ “ข้าม”


ทำการข้าม ขั้นที่ 3 Profile Picture โดยเลือกไปที่ “ข้าม”


ขั้นตอนที่ข้ามไปทั้ง 3ขั้นตอนเราสามารถที่จะใส่ข้อมูลได้ในภายหลังจากที่สมัครfacebook เสร็จเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่เราทำการสมัครใช้งานfacebookเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทางfacebookจะส่งจดหมายไปยังอีเมลของเรา เราจึงต้องเข้าไปเปิดอีเมลยืนยันตัวกับfacebookเพื่อให้การสมัครเกิดความสมบูรณ์



เข้าไปในอีเมลของเราที่ใช้ในการสมัคร facebook และทำการตรวจสอบอีเมล




กดปุ่มยืนยันการลงทะเบียนfacebookที่ ปุ่มสีเขียว คำว่า “ท่านได้ทำการลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”



เสร็จขั้นตอนวิธีการสมัครfacebook
สำหรับท่านที่ยังไม่เข้าใจขั้นตอนวิธีการสมัคร ลองดูใน คิปวีดีโอที่ผมทำไว้เป็นตัวอย่างอีกครั้งนึง





เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: http://www.naewna.com/article/14

Internet Marketing คืออะไร? มีอะไรบ้าง?


คงต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตมีความสำคัญกับชีวิตประจำวันของเรามากจริงๆ บางคนก็อาจจะใช้เพื่อความบันเทิง บางคนใช้ในการเรียน บางคนก็ใช้ในการทำธุรกิจ และกิจกรรมบนอินเตอร์เน็ต ก็คือการเข้าร่วมกิจกรรม ตามเนื้อหาที่อยู่ในเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง อ่านบทความ หรือแม้แต่ซื้อของผ่านเว็บไซต์ แต่ไม่ว่าเราจะใช้อินเตอร์เน็ตในการทำสิ่งใดก็ตาม การที่จะทำให้ผู้คนเข้ามาร่วมกิจกรรมบนเว็บไซต์นั้น จำเป็นจะต้องใช้วิธีทางการตลาด อาจจะเรียกแตกต่างกันไปว่า Internet Marketing (การตลาดอินเตอร์เน็ต), i-MarketingWeb MarketingOnline Marketing (การตลาดออนไลน์), หรือe-Marketing (การตลาดอิเล็กทรอนิกส์) ก็ได้ ซึ่งเป็นการทำการตลาดให้กับสินค้าหรือบริการ ผ่านกระบวนการทางอินเตอร์เน็ตนั่นเอง สำหรับในบทความนี้ ขอเรียกว่า Internet Marketing ก็แล้วกัน
Internet Marketing คือการนำเอาความคิดสร้างสรรค์ และเทคนิคทางอินเตอร์เน็ตมาใช้ร่วมกัน ซึ่งได้แก่ การออกแบบ, การพัฒนา, การทำโฆษณา, และการขาย
Internet Marketing เป็นคำเรียกรวมการทำการตลาดบนอินเตอร์เน็ตทั้งหมด ซึ่งมีวิธีการอยู่มากมาย สามารถแบ่งได้เป็นหลากหลายประเภทเลยล่ะ แต่เท่าที่ตระเวนอ่านบทความตาม Blog ต่างๆ มาแต่ละที่ ก็จะแบ่งกลุ่มแบ่งประเภทไม่ค่อยจะเหมือนกันซักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าในบทความนี้ ก็จะเป็น การแบ่งประเภทการทำ Internet Marketing ตามแบบฉบับความเข้าใจของผู้จัดทำก็แล้วกัน
  1. Social Media Marketing (SMM)
    1. Content Publishing เช่น Blogs, Articles, Audio, Video, Twitter
    2. Social Networking เช่น Facebook, MySpace, Ning
    3. Social Bookmarking เช่น Digg, Technorati, Delicious


  1. Instant Messenger (IM) Marketing เช่น Skype, Yahoo Messenger, Windows Live Messenger (MSN)
  2. Search Engine Marketing (SEM)
    1. Search Engine Optimization (SEO)
    2. Pay Per Click (PPC) เช่น Google AdWords, Yahoo Search Marketing, Microsoft adCenter
  3. E-Mail Marketing - การใช้ e-mail ในการสร้างความสัมพันธ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แจ้งข่าวสาร แจ้งโปรโมชั่นต่างๆ กับลูกค้า หรือจะเรียกอีกนัยหนึ่งว่าการทำ Customer Relationship Management (CRM) ด้วยระบบ e-mail นั่นเอง
  4. Banner Ads Marketing - การติดแบนเนอร์โฆษณาในเว็บต่างๆ
  5. Viral Marketing หรือ การตลาดแบบไวรัส - เป็นการตลาดที่เลียนแบบการแพร่เชื้อของไวรัส
  6. Forum Marketing เช่น MLM.com, BetterNetworker.com
ในโลกนี้ยังมีวิธีการในการทำ Internet Marketing อีกมากมาย ที่เองก็อาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะคิดไม่ถึงก็เป็นได้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักการตลาดทั้งหลายคือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทุกวันนี้


เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: Nattaphon
http://www.nattaphon.com/



ขายของออนไลน์อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพ



มีหลายคนมักจะถามเข้ามา เกี่ยวกับการขายสินค้าบน Facebookว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งการตอบสั้นๆ แต่ละครั้ง อาจไม่เคลียร์สำหรับหลายคน เราจึงได้เรียบเรียงคำตอบมาใหม่ และนำมาใส่ไว้ในบทความซะเลย เผื่อจะได้เป็นแนวทางสำหรับคนที่ต้องการจะขายสินค้าออนไลน์ต่อไป
คุณอาจมองเห็นว่า มีหลายๆ ธุรกิจ สามารถขายสินค้าบน Facebook ได้ แต่เชื่อมั้ย ถ้ามองให้ลึกจริงๆ คุณจะเห็นเบื้องหลังที่ไม่ใช่การขายของบน Facebook สิ่งที่คุณเห็น เป็นเพียงการตลาดของเขาเท่านั้น คุณมองเห็น เพราะเขาทำการตลาดได้ดี คุณจึงคิดว่าเขาขายสินค้าบน Facebook
ลองสังเกตให้ดี ถึงแม้คุณจะเข้าไปร่วมกิจกรรมบน Fan Page ของสินค้าที่คุณชอบ แต่เมื่อคุณพอใจจะซื้อสินค้าของเขา คุณจะเข้าไปซื้อที่ไหน? เข้าไปที่เว็บไซต์ของเขา ใช่หรือไม่? นั่นคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการเตรียมการ เพื่อขายสินค้าออนไลน์ ต้องเริ่มที่ Website ไม่ใช่ไปเริ่มที่ Facebook เพราะการเตรียมการมันอยู่ที่เว็บไซต์ของคุณต่างหาก Website คือหน้าร้าน เป็นร้านค้าของคุณ ส่วน Facebook คือทำเลสำหรับการเชื้อเชิญลูกค้าเท่านั้น แต่บางคนอาจใช้ Facebook เป็นหน้าร้านค้าไปเลยก็มี ไม่ได้ทำเว็บไซต์ขึ้นมา นั่นก็พอจะทำได้อยู่เหมือนกัน เพียงแต่มันอาจจะดูหลักลอยไปซักหน่อย
สิ่งที่เราจะบอกต่อไปนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยสำหรับนักการตลาดอินเตอร์เน็ต เพราะเ่่ราไม่ได้แนะนำให้คุณไปนั่งปั่น Traffic หรือไปสร้าง Backlink หรือไปทำ SEO ขั้นเทพอะไรทั้งนั้น แค่ความรู้พื้นๆ คุณก็ทำได้แล้ว
มาดูกันทีละข้อกันดีกว่า ว่าคุณต้องมีอะไร ทำอะไร และทำอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำการตลาดบนอินเตอร์เน็ต

1. เลือกขายสินค้าที่ผู้คนต้องการ

หากสินค้าที่คุณอยากจะขาย มีคุณภาพดีเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลกใบนี้ แต่สินค้านั้นแทบจะไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย คุณจะขายสินค้านั้นได้อย่างไร จริงมั้ย? เพราะฉะนั้น
จงขายสิ่งที่ผู้คนต้องการซื้อ ไม่ใช่ขายสิ่งที่คุณต้องการขาย
คุณต้องค้นให้เจอว่าผู้คนต้องการอะไร เมื่อรู้ความต้องการ ก็เท่ากับรู้ทิศทางของธุรกิจแล้วในระดับนึง

2. ทำเว็บไซต์ สร้างหน้าเว็บเพจ บอกรายละเอียดสินค้าให้ชัดเจน

นำรายละเอียดสินค้าที่ได้เลือกแล้วจากข้อ 1 มาใส่ในเว็บเพจให้เรียบร้อย บอกรายละเอียดให้ชัดเจน แนะนำว่า ควรจะมีรูปภาพสินค้าเพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น หรือถ้ามีวีดีโอแนะนำสินค้าด้วยก็จะดีมาก และสุดท้ายควรจะมีปุ่มสั่งซื้อสินค้า หรือรายละเอียดการสั่งซื้อให้เห็นชัดเจน หากลูกค้าต้องการจะสั่งซื้อเดี๋ยวนั้น จะได้บริการลูกค้าได้ทันใจ
product-details
มาถึงตรงนี้ คุณอาจจะคิดว่า ก็ทำเว็บไม่เป็นอ่ะ มันยากไปป่าว?.... สำหรับเรื่องนี้หายห่วงได้เลย เพราะมีผู้ให้บริการเว็บไซต์หลายแห่ง ที่รู้ปัญหาข้อนี้ดี และทำเรื่องยากๆ เหล่านี้ให้เป็นเรื่องง่ายเรียบร้อยแล้วล่ะ อย่างเช่นที่ โฮสติ้ง 1and1 ก็จะมี Package เว็บไซต์สำเร็จรูปให้ ชื่อว่า "1&1 My Website" ซึ่งคุณแทบไม่ต้องมีความรู้ในการทำเว็บเลย คุณก็สร้างหน้าเว็บเพจได้... หรือคุณอาจใช้พวกโปรแกรม Opensource อย่าง Joomla หรือ WordPress ก็ได้ ติดตั้งง่าย ใช้งานได้ทันที
คุณอาจใช้เว็บไซต์ในการสร้างแอพ (Application) บน Facebook ได้อีกด้วย อันนี้ก็ต้องให้โปรแกรมเมอร์ หรือนักพัฒนาแอพ มาช่วยทำให้ล่ะ แอพเจ๋งๆ ส่วนใหญมักสร้างบนเว็บไซต์ของตัวเอง ไม่ใช่สร้างบน Facebook เพราะต้องมีการเก็บค่าต่างๆ ลงฐานข้อมูลของเว็บ
ถึงแม้ว่าจะมีบางแอพที่เจ๋งขนาดว่า คุณสามารถติดตั้งร้านค้า e-Commerce บน Facebook ได้โดยไม่ต้องมีเว็บเลยก็ตาม แต่แอพเหล่านั้นก็ถูกสร้างบนเว็บไซต์ของเจ้าของแอพเองอยู่ดี ลองสังเกตดูนะ ยังไงซะ ก็ขาดเว็บไซต์ไม่ได้

3. เขียนเนื้อหาในบล็อก ให้โดนใจผู้ชม

คุณควรจะมีบล็อก โดยคุณอาจสร้างบล็อกบทความให้อยู่ภายในเว็บไซต์จากข้อ 2 ก็ได้ หรือจะแยกกันต่างหากก็ได้ ไม่ซีเรียส แต่สิ่งที่ซีเรียสคือ คุณควรอัพเดทบทความอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผู้ชมจะได้อ่านเนื้อหาที่สดใหม่อยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เคยเข้ามาแล้ว ก็อยากจะเข้ามาอีก นี่คือข้อที่สำคัญมากๆ สำหรับการทำการตลาดผ่านเว็บไซต์ (Content is KING) เขียนให้โดนใจ ถ้าเนื้อหาในบล็อกถูกใจผู้เยี่ยมชม นอกจากพวกเขาจะเต็มใจเข้ามาอ่านแล้ว ก็ยังอาจบอกต่อเพื่อนของเขาต่อๆ ไปไม่รู้จบ...
แน่นอนว่า คุณควรเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับสินค้าในข้อ 2 ด้วย แต่ไม่ใช่การ Copy เอารายละเอียดสินค้า (จากข้อ 2) มาโพสซ้ำอีกรอบ มันน่าเกลียด เพราะหน้าเพจรายละเอียดสินค้า กับการเขียนบทความ มันทำหน้าที่ต่างกัน
ก่อนอื่นเลย คุณต้องเข้าใจก่อนว่าเสริชเอนจิ้น (Search Engine) อย่าง Google, Yahoo, หรือ Bing นั้น ชอบบทความในบล็อก เนื้อหาที่อยู่ในบล็อก จะติดเสริชเอนจิ้นได้ง่ายกว่าหน้าเพจนิ่งๆ ที่บอกแต่รายละเอียดสินค้า คุณอาจเขียนบทความเพื่อให้ความกระจ่าง ให้ความรู้ ให้ทัศนะ ให้มุมมอง หรือบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ มีการแสดงความคิดเห็น พูดคุยกับผู้เยี่ยมชมบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Search Engine ชอบมาก บทความของคุณก็จะมีโอกาสติดหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาบน Search Engine
article
ผลที่ได้คือ หากมีใครใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่คุณกำลังขายอยู่พอดี ก็อาจจะเจอกับบทความในบล็อกของคุณก่อน เมื่อเขาได้อ่านแล้วเกิดความประทับใจ อยากเห็นสินค้า เขาก็จะคลิกลิ้งก์เข้าไปยังหน้าเว็บเพจรายละเอียดสินค้า ที่คุณได้ทำเตรียมไว้แล้วในข้อ 2 และหากเขาตัดสินใจสั่งซื้อ คุณก็ได้เตรียมขั้นตอนบอกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สั่งซื้อได้ทันที
นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมบล็อกจึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ต ก็เพราะมันเป็นการส่ง Content ใน Blog ให้ไปติดหน้าแรกๆ ของผลการค้นหาบน Search Engine เพื่อไปเจอกับผู้ค้นหาพอดิบพอดี วิธีการแบบนี้ จึงจะทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้ง่ายขึ้น

4. ปรับแต่งเว็บไซต์ให้ผู้ชมใช้งานง่าย

ในเว็บไซต์ของคุณ ควรจะมีระบบนำทาง (Navigation) ที่ดี เพื่อให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการภายในเว็บไซต์ได้ง่าย โดยอาจจะสมมุติตัวคุณเองเป็นผู้ชม และลองเข้ามาอ่านเพื่อทดสอบเองก่อน ลองสังเกตง่ายๆ ว่า ถ้าคุณอ่านเว็บไซต์ที่ใช้งานยาก หาสิ่งที่ต้องการไม่ค่อยเจอ ครั้งต่อไปคุณก็ไม่อยากเข้าไปอ่านอีก ผู้อื่นก็คิดไม่ต่างจากคุณแหละ
navigation
หากคุณมีสินค้าหลายหมวดหมู่ หลายชิ้น คุณสามารถจัดหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบระเบียบได้ภายในเว็บไซต์ หรือแม้แต่การจัดหมวดหมู่บทความในบล็อก ก็ทำได้ง่ายกว่าบน Facebook ทำให้ผู้เยี่ยมชมสะดวกในการค้นหา

5. เก็บข้อมูล สมาชิก/ลูกค้า

นี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำเงินให้กับคุณได้อย่างต่อเนื่อง ที่นักการตลาดหลายคน อาจจะมองข้ามข้อนี้ไป คุณอาจจะทำแบบฟอร์มเล็กๆ ให้สมัครสมาชิกเว็บไซต์ เพื่อรับข่าวสารอัพเดท หรือแบบฟอร์มลงทะเบียน เพื่อรับข้อเสนอพิเศษอะไรก็ว่ากันไป แบบฟอร์มนี้เรียกว่า Opt-In Form  มีไว้เพื่อใช้ทำ Email Marketing ต่อไป
otpin-form

6. สื่อสารกับ สมาชิก/ลูกค้า อย่างต่อเนื่อง

เมื่อมีรายชื่อ สมาชิก/ลูกค้า ที่ได้จากข้อ 5 แล้ว ก็อย่าลืมดูแลพวกเขาด้วยล่ะ การแจ้งข่าวสาร หรือพูดคุยอย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างคุณกับ สมาชิก/ลูกค้า และการสื่อสารกันนั้น ก็อย่าพยายามยัดเยียดให้เขาซื้อสินค้า โดยไม่ได้ดูเลยว่าเขาอยากจะได้สินค้านั้นหรือเปล่า อย่าลืมหลักการในข้อ 1 (ขายสิ่งที่ผู้คนต้องการ) คุณควรจะแยกกลุ่มผู้สนใจให้ชัดเจน ว่าแต่ละคน เขาสนใจอะไรกันแน่ คุณอาจทำแบบฟอร์ม Opt-In มากกว่า 1 ฟอร์ม เพื่อแยกความสนใจของลูกค้าแต่ละราย แล้วจึงค่อยนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความสนใจของเขา ลูกค้าจึงจะประทับใจ ถ้าลูกค้ารู้สึกพอใจ จะนำเสนออะไรมันก็ง่าย จริงมั้ย?

7. หาทำเลดีๆ เพื่อโปรโมท

socialmediaในบทความนี้ เรากำลังพูดถึง การทำการตลาดออนไลน์อยู่ และในยุคนี้ ถ้าพูดถึงทำเลบนอินเตอร์เน็ตแล้ว Social Media อย่าง FacebookTwitter,YouTube (ยกตัวอย่างแค่ 3 เว็บเท่านั้น ยังมีเว็บอื่นๆ อีกมาก) นับเป็นทำเลทองออนไลน์ที่ผู้คนพลุกพล่านมาก คุณจะต้องเชื่อมโยงเว็บไซต์ หรือบล็อกของคุณ เข้ากับ Social Media เหล่านี้ ด้วยการนำ VDO ปุ่ม ลิ้งก์ หรือ Plugin ต่างๆ มาติดตั้งในเว็บไซต์ของคุณ จากนั้นพยายามแชร์บทความดีๆ จากบล็อกของคุณไปยัง Social Media อย่างสม่ำเสมอ และอาจแชร์หน้าเว็บรายละเอียดสินค้าด้วยในบางครั้ง
ที่สำคัญคือ คุณต้องระมัดระวังในการแชร์สิ่งต่างๆ โดยอย่าไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่น และควรใช้วาจาสุภาพ การแชร์ประสบการณ์ ความรู้ ความคิด การเล่าเรื่องต่างๆ การพูดคุยทักทายกัน ผู้คนจะชอบมากกว่าการเอาแต่โพสขายของ ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเอาแต่โพสขายของบน Social Media รับรองว่าผู้คนจะวิ่งหนีคุณแน่นอน เพราะแท้ที่จริงแล้ว ผู้คนต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์ หรือคุยกับคนมากกว่า ไม่ใช่คุยกับสินค้า
ถ้าสิ่งต่างๆ ที่คุณแชร์ โดนใจผู้เยี่ยมชมล่ะก็ จะทำให้เกิดการจดจำ และการบอกต่อ ได้โดยอัตโนมัติ

8. เร่งสปีดด้วยการลงโฆษณา

คุณอาจจะสร้างเว็บไซต์ได้อย่างอลังการ สร้าง Facebook Fan Page ได้อย่างมืออาชีพ แต่สำหรับบางคนแล้ว กว่าจะมีสมาชิกแฟนเพจถึง 100 คนแรก อาจไม่ทันใจ ถ้าคุณอยากจะเห็นผลเร็ว บางครั้งคุณก็จำเป็นจะต้องเร่งสปีด ด้วยการทำโฆษณาแบบเสียเงินบ้างในช่วงเริ่มต้น
คุณอาจเลือกทำโฆษณาใน Search Engine หรือใน Social Media ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ของการทำโฆษณานั้น ว่าเป็นการเน้นขายสินค้า หรือเน้นสร้างแบรนด์ หรือเพื่อหาจำนวนสมาชิกให้ได้มากที่สุด วิธีการก็จะแตกต่างกันไป
Google AdWords V.S. Facebook Ads
หากทำโฆษณาเพื่อเน้นขายสินค้า อาจทำใน Google หรือใน Facebook ก็ได้ โดยส่งผู้ที่คลิกโฆษณาเข้าไปยังหน้ารายละเอียดสินค้าโดยตรงเลย เพราะผู้ที่คลิกโฆษณา เขารู้อยู่แล้วว่าคุณกำลังโฆษณาสินค้าอยู่ และเขาก็ต้องการจะดูสินค้าอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นส่งตรงไปหน้าสินค้าเลย
หากทำโฆษณาเพื่อเน้นสร้างแบรนด์ หรือหาจำนวนสมาชิก ก็อาจจะทำโฆษณาบน Facebook โดยโปรโมทกิจกรรม หรือโปรโมชั่นโดนๆ เจ๋งๆ ผ่านทาง Fan Page วิธีนี้จะได้จำนวนสมาชิกที่กด Like แฟนเพจจำนวนมาก เมื่อได้จำนวนมากพอในระดับนึงแล้ว คุณก็สามารถที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมหรือโปรโมชั่นที่คุณทำขึ้น ก็จะนำไปสู่การสั่งซื้อสินค้าบนเว็บไซต์ในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรม หรือโปรโมชั่น หรือการพูดคุยโต้ตอบกับแฟนเพจ จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงในการบอกต่อ เมื่อถึงตอนนั้น ก็อาจไม่จำเป็นต้องทำโฆษณาแบบเสียเงินอีกเลยก็ได้

สรุป

มาดูกันซิว่า สิ่งที่เราได้บอกไปทั้งหมดข้างต้น คุณจะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง
  1. Blog/Website
    ทำบล็อกไว้สำหรับเขียนบทความ มีหน้าเว็บเพจแสดงรายละเอียดสินค้า หรืออาจใช้เขียนแอพ (โปรแกรมเสริม) อื่นๆ เพิ่มเติมได้
  2. Opt-In Form
    แบบฟอร์มสำหรับเก็บข้อมูล ชื่อ และอีเมล์ลูกค้า เพื่อแจ้งข่าวสารทางอีเมล์ (Email Marketing)
  3. Social Media
    เช่น FacebookTwitterYouTube หรือ Social Media อื่นๆ เพื่อแจ้งข่าวสาร อัพเดทบทความ แชร์วีดีโอ สร้างความสัมพันธ์ โดยเฉพาะ Facebook Fan Page สามารถสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ได้มากมาย ใช้สร้างแบรนด์ได้
พอจะเห็นแนวทางการขายของบนเน็ตกันแล้วนะ Website/Blog และ Social Media ล้วนแต่สำคัญทั้งนั้น ควรใช้ร่วมกัน และใช้ Email Marketing เพื่อความต่อเนื่อง จึงจะสร้างแบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่า เพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจของคุณได้มากขึ้น โดยเฉพาะหากต้องการสร้างแอพ เพื่อนำไปประกอบกิจกรรมบน Facebook Fan Page ให้เพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น เว็บไซต์คือสิ่งจำเป็น และในที่สุดแล้ว กิจกรรมพวกนั้น ก็จะนำลูกค้ามาสั่งซื้อสินค้าที่เว็บไซต์ของคุณนั่นเอง



เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: Nattaphon
http://www.nattaphon.com/

ทำ Social Network Marketing อย่างไรให้ได้ผล?



สำหรับผู้ใช้อินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก Social Network ชื่อดัง อย่าง FacebookHi5, หรือTwitter ซึ่งถ้าดูกันตามสถิติจริงๆ แล้วจะเห็นว่า แนวโน้มของผู้ใช้งาน Social Network มีมากขึ้นทุกวัน และบางคนก็ใช้งานอยู่ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกว่า Social Network มาดูสถิติจากห้องข่าว (Press Room) ของ Facebook กันดีกว่า
สถิติ จากห้องข่าว (Press Room) ใน Facebook
- มีผู้ใช้งาน Facebook มากกว่า 500 ล้านคน
- 50% ของผู้ใช้งาน เข้าสู่ Facebook ในแต่ละวัน
- ผู้ใช้งานมีเพื่อน 130 คน โดยเฉลี่ย
- ผู้คนใช้เวลาบน Facebook มากกว่า 7 แสนล้านนาที ต่อ 1 เดือน
จากสถิติเหล่านี้ นักการตลาดจากทั่วโลก ก็เริ่มกระโจนเข้ามาทำการตลาดผ่าน Facebook กันมากเลยทีเดียว ซึ่งถ้าเราเป็นผู้ใช้งานทั่วไป ก็อาจจะไม่ทันสังเกตเห็น เพราะวันวัน มัวแต่ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์กันอยู่ล่ะสิ ใช่มั้ย?
การทำตลาดผ่าน Social Network นั้นก็ยังมีหลายคนเข้าใจผิด คิดเพียงแต่ว่าจะส่งสารของตนไปยังผู้บริโภคแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งแท้จริงแล้ว การตลาดแบบเดิมๆ แบบนี้ จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อ ผู้คนไม่มีทางเลือกอื่นในการเสพสื่อต่างๆ... แต่สำหรับ Social Network แล้วไม่ใช่เลย เพราะผู้คนใน Social Network มักจะเชื่อถือคนที่ตนรู้จัก หรือไว้ใจ เช่น เพื่อน หรือคนที่ปรารถนาดีต่อเขาเท่านั้น การพยายามส่งสารเพื่อประชาสัมพันธ์แต่สินค้าหรือบริการของตน จึงมักไม่ได้ผลเท่าที่ควร

แล้วเราจะทำการตลาดผ่าน Social Network ยังไงดีล่ะ?

facebook-profileคำถามนี้จึงเกิดขึ้นกับนักการตลาดที่กระโจนเข้ามาสู่โลก Internet Marketingซึ่งเดิมที่เราเองก็เคยมีคำถามเหล่านี้อยู่เหมือนกัน เราจึงไม่รอช้ารีบเข้าไปศึกษา โดยทดลองเข้าไปใช้งานจริงกับ Social Network ชื่อดังอย่าง Facebook และTwitter เชื่อมั้ยว่าเดือนแรก เราก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ที่ทำการตลาดไม่เป็น เราโพสแต่โปรโมทสินค้าตนเองใน Twitter จนเมื่อเวลาผ่านไป เดือนนึง เอ๊ะ?? นี่เรากำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? ไม่เห็นจะขายอะไรได้เลย เราเลิกเล่น Twitter ไปเลย แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว ก็กลับมาเล่นเหมือนเดิมละ ^_^
ในตอนนั้น ไม่ใช่ว่า Twitter มันไม่ดี แต่เราต่างหากที่ใช้ของผิดประเภท เราพยายามที่จะใช้มัน เพื่อขายสินค้า (Hard Sell) เราเข้าใจผิดอย่างแรงเลยล่ะ แต่ดีหน่อยตรงที่ไม่ได้ทำอย่างนั้นด้วยใน Facebook จึงทำให้เห็นข้อแตกต่างอย่างชัดเจน เราใช้ Facebook ในการพูดคุยกับเพื่อน รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ หรือเพื่อนเก่าๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ก็ได้มาเจอกันอีก และเมื่อได้มีการสนทนากันกับผู้คนเหล่านั้น แต่ละคนก็เริ่มที่จะเล่าเรื่องราวของตน ว่ากำลังทำงานอะไร คิดอะไร ไปเที่ยวที่ไหน มีปัญหาอะไรในชีวิต บางคนก็เล่าชีวิต "ดราม่า" ซะท่วมจอเลย เฮ้อ!! - -'
  • คนที่เรารู้สึกว่า "ดราม่า" มากไป เราก็ไม่ค่อยอยากจะคุยด้วย จริงมั้ย?
  • คนที่เรารู้สึกว่า "คุกคามสิทธิส่วนตัวมากไป" เช่น พยายามเอาสินค้า หรือธุรกิจ มาโพสในกระดานข้อความ (Wall) ของคนอื่น เพื่อชักชวนให้ซื้อ หรือชวนให้เข้าร่วมธุรกิจ เราก็ไม่อยากจะคุยด้วย จริงมั้ย?
  • คนที่เรารู้สึกว่า "มันเป็นมนุษย์หรือเปล่าหว่า?" เพราะไม่เคยคุยกับใคร และไม่มีใครคุยด้วย ไม่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกันเลยว่างั้น เอาแต่โพสโปรโมทสินค้าในกระดานข้อความ (Wall) ของตนเอง เราก็ไม่อยากคุยด้วยอีก จริงมั้ย?
ความรู้สึกที่เรามีต่อพฤติกรรมของคนเหล่านี้เป็นอย่างไร ผู้อื่นก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากเรา
ถ้าคุณต้องการจะดึงดูดผู้คนให้มาซื้อสินค้าของคุณ
คุณต้องทำตัวให้น่าคบซะก่อน ก่อนที่คุณจะเอาอะไรไปขายให้เขา
- by - Nattaphon Kaosumli
นี่แหละหัวใจสำคัญของ Social Network Marketing ถ้าคุณทำตัวไม่น่าคบ ต่อให้เมื่อใช้สินค้าของคุณแล้วบินได้ เขาก็ไม่ซื้อกับคุณหรอก เขาจะไปหาซื้อกับคนอื่น เพราะนอกจากจะบินได้แล้ว ยังรู้สึกอุ่นใจมากกว่า... หืม?? สินค้าแบบมีปีก ป่าวหว่า -?-'

ทำยังไง ถึงจะเป็นคนน่าคบล่ะ?

เอ่อ... - -' เอาแล้วไง คำถามนี้ คงต้องถามกลับไปว่า คุณเคยรู้สึกอยากคบ หรืออยากรู้จักกับใครมั้ยล่ะ? คุณก็จงเป็นคนแบบนั้น นั่นแหละ... คำตอบง่ายไปมั้ยเนี่ย ^_^'
เอาล่ะ มาตอบกันแบบเป็นทางการกันดีกว่า สิ่งที่กำลังพูดถึงก็คือ การใช้ Social Network ในการประชาสัมพันธ์ตัวคุณเองยังไงล่ะ ไม่ว่าคุณจะแสดงออกในทางบวก หรือลบ คุณต้องระรึกไว้เสมอว่า บนโลกอินเตอร์เน็ต ข่าวสารกระจายได้รวดเร็วจนคุณคาดไม่ถึงหรอก คุณต้องกลั่นกรองคำพูด ก่อนจะโพสอะไรลงไป เพราะถ้ามันเสียหายต่อภาพลักษณ์ของคุณแล้วล่ะก็ มันเรียกกลับคืนมาได้ยาก
การโปรโมทตัวเอง หรือการทำให้ตัวคุณเองเป็น แบรนด์ (Personal Branding) นั้น ไม่ใช่การนำเสนอขายสินค้า (Hard Sell) แต่เป็นการนำเสนอตัวคุณเอง ตัวอย่างเช่น
  • คุณทำอาชีพอะไร? เน้นการพูดคุยกับผู้คน แลกเปลี่ยนไอเดียในอาชีพของคุณกับเพื่อน
  • มีความสามารถด้านไหน เป็นพิเศษ? ก็พูดคุยอีกนั่นแหละ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปมา ระหว่างคุณกับกลุ่มเพื่อนของคุณ
  • ชอบอะไร? ไม่ชอบอะไร? แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตนเองชอบ หรือไม่ชอบ และถ้าใครชอบในสิ่งเดียวกัน ก็จะเหมือนแม่เหล็กดึงดูดเข้าหากัน
  • จัดกิจกรรมกลุ่ม หรือออกงานที่ไหนบ้าง? นี่ก็เป็นอีกกิจกรรม ที่สร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างดีเลยล่ะ
  • ทำประโยชน์อะไรให้กับสังคม? หากคุณได้ไปช่วยเหลือสังคมบ้าง ก็ดีนะ เช่น บริจาคสิ่งของให้ผู้ยากไร้ หรือสมทบทุนมูลนิธิต่างๆ
  • ช่วยแก้ปัญหาให้กับเพื่อนๆ ของคุณ ถ้าคุณทำได้ ก็จงทำซะ
  • ใช้คำพูดสุภาพ และอย่าด่ากันไปๆ มาๆ หากคุณรู้สึกไม่พอใจใคร ก็แค่ลบชื่อเขาออกจากเพื่อน หรือบล็อกชื่อนั้นเอาไว้ก็พอ เพราะยิ่งคุณด่าคนนู้นคนนี้มากเท่าไหร่ ตัวคุณนั่นแหละจะดูแย่ที่สุด
เห็นมั้ยว่าตัวอย่างเหล่านี้ ล้วนไม่ใช่การขายสินค้า (Hard Sell) ทั้งสิ้น แต่เกิดอะไรขึ้นทราบมั้ย สิ่งเหล่านี้ จะดึงดูดผู้คนที่ผ่านเข้ามาเห็นโปรไฟล์ของคุณ เขาจะชื่นชอบคุณ ประทับใจ และรู้สึกว่า คุณเป็นคนน่าเชื่อถือ น่าคบหาด้วยคนนึง และเชื่อมั้ยว่าคนเหล่านั้น เขาจะพยายามรู้จักคุณเอง ว่าคุณเป็นใคร? หรือกำลังทำอะไร? เพราะเขาต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมกับคุณนั่นเอง และถ้าคุณมีสินค้าบางอย่างที่ตรงกับความต้องการของเขา เขาก็จะมาเป็นลูกค้าของคุณเอง โดยที่คุณไม่ต้องเอ่ยปากสักคำ... Bingo!!... การขายจึงเกิดขึ้นตรงนี้แหละ



เรียบเรียงข้อมูลโดย เกศสุดา หอมลา
Article by: Nattaphon
http://www.nattaphon.com/